น้ำเป็นโครงสร้างที่สำคัญของเซลล์ คือเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ ผิวชั้นนอกของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 10 - 20% ซึ่งผิวที่มีน้ำมากพอจะมีความชุ่มชื้น ดูฉ่ำน้ำ และสุขภาพดี แต่หากปริมาณน้ำในผิวมีน้อยกว่า 10% จะเกิดปัญหาผิวขาดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพผิวต่างๆ ตามมา เช่น ผิวแห้ง คล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งต่อให้ใช้เครื่องสำอางราคาแพง แต่ถ้าไม่ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ ก็รักษาอาการผิวขาดน้ำไม่ได้
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวขาดน้ำก็คือการดื่มน้ำไม่เพียงพอ และมีปัจจัยเสริมคือแสงแดด โดยสาวๆ ที่ต้องออกทำงานเผชิญแดดอยู่ทุกวัน มักจะประสบปัญหาผิวขาดน้ำ เนื่องจากแดดทำให้เกิดความร้อน ผิวก็จะขับเหงื่อออกมา หากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ ก็จะเกิดอาการผิวแห้งแน่ๆ แต่สาวๆ ที่ทำงานในห้องแอร์ก็อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะอากาศที่เย็นและแห้งก็ทำให้เกิดอาการผิวขาดน้ำได้เช่นกัน
หลายคนอาจจะสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าผิวขาดน้ำแล้ว ต่อไปนี้คือสัญญาณเตือนเบื้องต้นจากผิวที่บ่งบอกว่าเรามีอาการผิวขาดน้ำแล้วนะ!
1. เริ่มแต่งหน้าไม่ติด หรือเครื่องสำอางอยู่ไม่ทน ทาครีมแล้วไม่ค่อยซึม หรือรองพื้นที่หน้าแล้วเป็นขุยๆ
2. ผิวเริ่มดูโทรม อิดโรย ไม่สดใส ผิวหยาบกระด้างขึ้น ขาดความยืดหยุ่น และถ้าหากเป็นรุนแรงยิ่งขึ้น ก็จะเกิดผิวแพ้ง่าย อักเสบง่าย เพราะหน้าที่ผิวคือการปกป้องร่างกายจากมลภาวะ เซลล์ผิวที่เรียงตัวกันเปรียบได้กับกระเบื้องมุงหลังคาบ้าน เมื่อผิวขาดน้ำ เซลล์ผิวจะอ่อนแอ จึงทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้นและมลภาวะต่างๆ
ปัญหาผิวขาดน้ำสามารถแก้ไขได้ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน แต่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้หญิงทำงานมักจะลืมดื่มน้ำ ดื่มน้ำน้อย ดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน มากกว่าน้ำสะอาด เหล่านี้จะทำให้ผิวสวยกลายเป็นผิวเสีย แต่หากเปลี่ยนวิถีชีวิตมาดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นก็จะทำให้สวยได้แบบไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อครีมราคาแพง
ดื่มน้ำเท่าไหร่ดี
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่เรากินเข้าไปเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่มาจากน้ำดื่ม ส่วนปริมาณเท่าไหร่ถึงจะพอนั้น มีความแตกต่างกันไป เพราะร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำในปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย กิจกรรมที่ทำ อาหารที่กิน และสภาพแวดล้อมในวันนั้นๆ แต่โดยทั่วไปจะแนะนำกว้างๆ ว่าควรดื่มน้ำให้ได้ 8 แก้วในแต่ละวัน และเพิ่มปริมาณมากขึ้นหากอยู่ในที่อากาศร้อน ห้องแอร์ หรือมีการสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย