ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณไพบูลย์ สุวรรณ เป็นอีกคนหนึ่งที่กินมังสะวิรัติมายาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นก็มาจากความสงสัยในเรื่องการกินเจของคนจีน
“ตอนที่เริ่มกินมังสะวิรัติ เป็นเพราะเราเห็นคนจีนกินเจ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่ากินเจเป็นอย่างไร พอดีมีป้าคนหนึ่งเป็นคนจีนบอกว่า เค้าไม่กินเนื้อสัตว์เลย เราก็สงสัยว่า ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วกินอะไร เค้าก็บอกว่า กินเห็ด กินเต้าหู้ กินผัก ตอนนั้นก็คิดขึ้นมาเองว่า การกินเนื้อสัตว์ก็เหมือนเราทำให้สัตว์อื่นตาย เพื่อให้เราอิ่มท้อง ก็เลยเลิกกินเนื้อวัวก่อน ตั้งแต่ปี 2525 หลังจากนั้นทุกเข้าพรรษาก็จะกินมังสะวิรัติเป็นเวลา 3 เดือนทุกปี”
หลังจากกินมังสะวิรัติทุกๆ เข้าพรรษา ป้าจิ๊ก็ได้พบพระรูปหนึ่งซึ่งบอกให้ลองเปลี่ยนมาเป็นกินเนื้อสัตว์ให้เต็มที่เมื่อเข้าพรรษา แล้วออกพรรษาก็ไม่กินเนื้อสัตว์แทน เพราะเวลาที่ได้งดเว้นจากเนื้อสัตว์จะยาวกว่า จากปีละ 3 เดือนกลายเป็นปีละ 9 เดือน
“พอมาปี 2527 ก็เลิกกินเนื้อสัตว์เลย ซึ่งตอนนั้นร่างกายก็รู้สึกดี สบายดี ไม่อืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ที่เป็นอย่างนั่นคิดว่า เพราะตอนที่เรากินได้ทุกอย่าง เราก็จะกินไม่ยั้ง แต่พอเราไม่กินเนื้อสัตว์ สิ่งที่เรากินได้ก็น้อยลง และพอเราไม่กิน เราก็ไม่ต้องไปโหยหา เพราะเราก็กินแค่นี้ กินแค่เห็ด เต้าหู้ ผัก ข้าวกล้อง ทำให้เราคิดได้ว่า ไม่ได้ขึ้นกับการกินให้อร่อยหรือไม่อร่อย แต่เรากินอาหารเพื่อไม่ให้เราหิวเท่านั้นเอง”
ความใส่ใจเรื่องอาหารการกินของป้าจิ๊ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยดูแลรูปร่างให้ดูดีได้เสมอ นอกจากการออกกำลังด้วยโยคะเป็นประจำ ป้าจิ๊บอกว่า รูปร่างและสุขภาพที่ดีส่วนหนึ่งก็มาจากการเลือกกินอาหารด้วย
“ก่อนจะเอาอาหารเข้าปาก ต้องมองก่อนว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมไหม อาหารที่หวานมาก มันมาก แป้งมาก น้ำตาลมาก เราก็ไม่ได้อดจนเด็ดขาด แต่ควบคุมไม่ให้กินมากจนเกินไปและเป็นพิษกับร่างกายเรา เวลากินอาหารก็ไม่กินให้อิ่มเกินไป ไม่ปล่อยให้หิวเกินไป กินแต่พอดี กินให้ครบทุกมื้อ ไม่เคยอดเพราะอยากให้รูปร่างดี เพียงแต่เลือกกินและกินให้อยู่ในขอบเขตที่จำกัด”
การกินดี อยู่ดี เป็นเรื่องพื้นฐานที่ที่ต้องเอาใจใส่ ทั้งเรืองอาหารและการออกกำลังกาย ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดูแลสุขภาพที่ป้าจิ๊บอกว่า
“ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ นั่นก็เพราะสุขภาพเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ถ้าสุขภาพเราไม่ดี การดำเนินชีวิตประจำวันของเราก็ไม่เป็นปกติ ทั้งเรื่องงาน สังคม การดูแลครอบครัว เลยบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องเป็นคนสุขภาพดี เพื่อไม่เป็นภาระให้ใคร และถ้าร่างกายเราดี เราก็สามารถจะทำอะไรดีๆ ได้อีกมหาศาล เงินทองที่มีมากมายจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีกลับมาได้”
“ตอนที่เริ่มกินมังสะวิรัติ เป็นเพราะเราเห็นคนจีนกินเจ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่ากินเจเป็นอย่างไร พอดีมีป้าคนหนึ่งเป็นคนจีนบอกว่า เค้าไม่กินเนื้อสัตว์เลย เราก็สงสัยว่า ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วกินอะไร เค้าก็บอกว่า กินเห็ด กินเต้าหู้ กินผัก ตอนนั้นก็คิดขึ้นมาเองว่า การกินเนื้อสัตว์ก็เหมือนเราทำให้สัตว์อื่นตาย เพื่อให้เราอิ่มท้อง ก็เลยเลิกกินเนื้อวัวก่อน ตั้งแต่ปี 2525 หลังจากนั้นทุกเข้าพรรษาก็จะกินมังสะวิรัติเป็นเวลา 3 เดือนทุกปี”
หลังจากกินมังสะวิรัติทุกๆ เข้าพรรษา ป้าจิ๊ก็ได้พบพระรูปหนึ่งซึ่งบอกให้ลองเปลี่ยนมาเป็นกินเนื้อสัตว์ให้เต็มที่เมื่อเข้าพรรษา แล้วออกพรรษาก็ไม่กินเนื้อสัตว์แทน เพราะเวลาที่ได้งดเว้นจากเนื้อสัตว์จะยาวกว่า จากปีละ 3 เดือนกลายเป็นปีละ 9 เดือน
“พอมาปี 2527 ก็เลิกกินเนื้อสัตว์เลย ซึ่งตอนนั้นร่างกายก็รู้สึกดี สบายดี ไม่อืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ที่เป็นอย่างนั่นคิดว่า เพราะตอนที่เรากินได้ทุกอย่าง เราก็จะกินไม่ยั้ง แต่พอเราไม่กินเนื้อสัตว์ สิ่งที่เรากินได้ก็น้อยลง และพอเราไม่กิน เราก็ไม่ต้องไปโหยหา เพราะเราก็กินแค่นี้ กินแค่เห็ด เต้าหู้ ผัก ข้าวกล้อง ทำให้เราคิดได้ว่า ไม่ได้ขึ้นกับการกินให้อร่อยหรือไม่อร่อย แต่เรากินอาหารเพื่อไม่ให้เราหิวเท่านั้นเอง”
ความใส่ใจเรื่องอาหารการกินของป้าจิ๊ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยดูแลรูปร่างให้ดูดีได้เสมอ นอกจากการออกกำลังด้วยโยคะเป็นประจำ ป้าจิ๊บอกว่า รูปร่างและสุขภาพที่ดีส่วนหนึ่งก็มาจากการเลือกกินอาหารด้วย
“ก่อนจะเอาอาหารเข้าปาก ต้องมองก่อนว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมไหม อาหารที่หวานมาก มันมาก แป้งมาก น้ำตาลมาก เราก็ไม่ได้อดจนเด็ดขาด แต่ควบคุมไม่ให้กินมากจนเกินไปและเป็นพิษกับร่างกายเรา เวลากินอาหารก็ไม่กินให้อิ่มเกินไป ไม่ปล่อยให้หิวเกินไป กินแต่พอดี กินให้ครบทุกมื้อ ไม่เคยอดเพราะอยากให้รูปร่างดี เพียงแต่เลือกกินและกินให้อยู่ในขอบเขตที่จำกัด”
การกินดี อยู่ดี เป็นเรื่องพื้นฐานที่ที่ต้องเอาใจใส่ ทั้งเรืองอาหารและการออกกำลังกาย ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดูแลสุขภาพที่ป้าจิ๊บอกว่า
“ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ นั่นก็เพราะสุขภาพเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ถ้าสุขภาพเราไม่ดี การดำเนินชีวิตประจำวันของเราก็ไม่เป็นปกติ ทั้งเรื่องงาน สังคม การดูแลครอบครัว เลยบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องเป็นคนสุขภาพดี เพื่อไม่เป็นภาระให้ใคร และถ้าร่างกายเราดี เราก็สามารถจะทำอะไรดีๆ ได้อีกมหาศาล เงินทองที่มีมากมายจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีกลับมาได้”