เนสกาแฟ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากแนวความคิดที่จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเมล็ดกาแฟดิบที่ค้างอยู่ในตลาด จะฉลองครบรอบ 75 ปี ของการเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มยอดนิยมของโลกในปีนี้
ในปัจจุบัน มีผู้ดื่มกาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อ เนสกาแฟ หลากหลายรสชาติ มากกว่า 5,500 ถ้วยทั่วโลกในทุกๆ วินาที
"เรากำลังเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์และมรดกที่สืบทอดมาอย่างยาวนานของ เนสกาแฟซึ่งเป็นกาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อแรกของโลกที่เก็บกลิ่นหอมกรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟไว้ ตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา เนสกาแฟได้พัฒนาจากกาแฟสำเร็จรูปในบรรจุภัณฑ์กระป๋องมาเป็นผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปในรูปแบบและรสชาติต่างๆ มากมาย รวมทั้งเครื่องบริการเครื่องดื่มกาแฟอัตโนมัติ และการบริการด้านการขายแบบครบวงจร" มร. คาร์สเตน เฟรดโฮล์ม หัวหน้าหน่วยธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของเนสท์เล่กล่าว
"เนสกาแฟมีวางจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศ นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการเติบโตของเนสกาแฟในอนาคตเพื่อคงความเป็นผู้นำในกลุ่มเครื่องดื่มประเภทกาแฟ" มร. คาร์สเตน กล่าวเพิ่มเติม
จุดเริ่มต้นของเนสกาแฟ
ในปี พ.ศ.2472 มร. หลุยส์ แดปเปิลส์ ประธานบริษัทของเนสท์เล่ในขณะนั้นได้รับการขอร้องจากธนาคาร Banque Française et Italienne pour l'Amérique du Sud ซึ่งเขาเคยทำงานอยู่ ว่าธนาคารมีเมล็ดกาแฟที่จำหน่ายไม่ได้เหลืออยู่เป็นจำนวนมากในโกดังที่บราซิล ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤติการทางการเงินในวอลล์สตรีทและผลกระทบจากราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกตกต่ำลงมาก
ธนาคารจึงสอบถามมายังเนสท์เล่ว่าจะสามารถแปลงสต็อกเมล็ดกาแฟดังกล่าวเป็นก้อนกาแฟที่ชงได้เพื่อขายให้แก่ผู้บริโภคได้หรือไม่
นักเคมีชื่อ ดร. แม็กซ์ มอร์เกนเธเลอร์ ได้ร่วมงานกับบริษัทเนสท์เล่เพื่อช่วยนักวิจัยของเนสท์เล่ในการหาวิธีการดังกล่าว
หลังจากการวิจัยเป็นเวลาสามปี ทีมนักวิจัยของเนสท์เล่ก็ได้พบว่ากาเเฟนม (café au lait) ซึ่งเป็นกาแฟผสมกับนมและน้ำตาล แล้วทำให้กลายเป็นผง จะช่วยเก็บรสชาติของกาแฟให้ได้นานขึ้น
แต่ผงกาแฟดังกล่าวยังละลายได้ยาก ส่วนนมและน้ำตาลก็ทำให้เกิดปัญหาใหม่ๆ ในการผลิต
กำเนิดเนสกาแฟ
อย่างไรก็ตาม ดร. มอร์เกนเธเลอร์ พบว่ารสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟจะคงอยู่ในกาแฟที่ผสมนมข้นหวานได้ดีกว่ากาแฟที่ผสมนมธรรมดา นอกจากนี้ เขายังพบว่าเมื่อกาแฟผ่านอุณหภูมิและแรงดันที่สูง กาแฟจะสามารถเก็บได้นานขึ้น
ดร. มอร์เกนเธเลอร์ สรุปว่าความลับในการเก็บรักษากลิ่นหอมของกาแฟเอาไว้ก็คือการผลิตกาแฟที่สามารถละลายได้คงสภาพของคาร์โบไฮเดรตให้มีปริมาณมากพอ การค้นพบนี้เป็นสิ่งใหม่และสวนทางกับความเชื่อแบบเดิมๆทางวิชาการในขณะนั้น
หนึ่งปีต่อมาเขาได้ใช้เทคนิคเฉพาะในการผลิตผงกาแฟดังกล่าว และเสนอต่อกรรมการบริหารและผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของเนสท์เล่เพื่อผลิตตัวอย่างกาแฟชงพร้อมดื่มที่สามารถละลายได้
สองปีต่อมา ได้มีการเปิดตัวเนสกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์กาแฟที่สามารถละลายได้ เป็นครั้งแรกในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2481 เนสท์เล่ได้จัดตั้งสายการผลิตขนาดใหญ่สำหรับการสกัดและอบแห้งเมล็ดกาแฟ เพื่อผลิต เนสกาแฟขึ้นที่โรงงานในเมือง Orbe ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ได้มีการเปิดตัวแบรนด์ เนสกาแฟ ในสหราชอาณาจักรในอีกสองเดือนถัดมา และในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2482
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2483 เนสกาแฟมีวางจำหน่ายใน 30 ประเทศทั่วโลก
เนสกาแฟในช่วงสงคราม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการบริโภคผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกานับเป็นปริมาณที่มากกว่า 3 ใน 4 ส่วนของผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทั่วโลก
ด้วยอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานกว่ากาแฟสด ทำให้เนสกาแฟได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เนสกาแฟเป็นจำนวนมากถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้เป็นเสบียงให้กับทหารของสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการสู้รบ จนได้มีการก่อตั้งโรงงานผลิต เนสกาแฟสองแห่งขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2486 เพื่อรองรับกับปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น
เหตุการณ์สำคัญ
ในปี พ.ศ.2495 โรงงานผลิตเนสกาแฟ ในเมืองเซนต์ เมเนต์ ประเทศฝรั่งเศสได้สร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา โดยเป็นผลิตภัณฑ์กาแฟที่ไม่ต้องเติมคาร์โบไฮเดรตเพิ่มเข้าไป
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอีกครั้งในในยุโรปและญี่ปุ่น โดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นแก้วเพื่อเป็นการช่วยรักษาความสดใหม่ของกาแฟ
ในปี พ.ศ.2508 ได้มีการเปิดตัว เนสกาแฟ โกลด์ เบลนด์ กาแฟผงสำเร็จรูปแบบใหม่ ซึ่งมีกระบวนการผลิตแบบ Freeze Dried
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เนสกาแฟได้สร้างสรรค์สูตรกาแฟผงสำเร็จรูปที่หลากหลายมากขึ้น ได้แก่ Nescafé Decaffeinated, Nescafé Gold Espresso, Nescafé Frappé, Nescafé Cappuccino และ Nescafé Ready-to-Drink
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 นักวิจัยของบริษัทได้พัฒนาระบบทำฟองในตัวเพื่อให้คุณภาพของฟองนมดีขึ้นกว่าเดิม และมีการนำระบบนี้มาใช้กับ เนสกาแฟ คาปูชิโนในปัจจุบันนี้
นวัตกรรมเครื่องชงกาแฟ
เนสกาแฟยังคงมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อไป และได้เปิดตัวเครื่องชงกาแฟ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ (Nescafé Dolce Gusto) ขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี และสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ.2549 และในสเปนอีกหนึ่งปีถัดมา
เครื่องชงกาแฟที่สามารถชงได้ "ราวกับมีร้านกาแฟอยู่ที่บ้าน" เครื่องนี้สามารถชงได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น แคปซูล Nescafé, Nestea และ Nesquik สามารถใช้ชงได้ด้วยเครื่องทั้ง 5 รุ่น ได้แก่ Melody, Circolo, Piccolo, Fontana และ Creativa
สองปีหลังจากนั้น ได้มีการพัฒนา Nescafé Barista ขึ้น ซึ่งมีวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น Nescafé Barista เป็นเครื่องชงที่ใช้ภายในครัวเรือนแบบครั้งละถ้วยโดยใช้กาแฟผงสำเร็จรูปในการชง
เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล เป็นหน่วยธุรกิจของเนสท์เล่ที่ให้บริการทางด้านเครื่องดื่มสำหรับส่วนอื่นๆ นอกจากครัวเรือน และยังเป็นแหล่งสำคัญที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมามากมายให้แก่เนสกาแฟโดยมีผลิตภัณฑ์เครื่องชงเครื่องดื่มแบบร้อนออกมา 3 แบบ ได้แก่ Nescafé Alegria, Nescafé Milano และ Viaggi, by Nescafé
เครื่องชงกาแฟเหล่านี้ถูกติดตั้งใช้งานในจุดต่างๆ 400,000 แห่งทั่วโลก และให้บริการกาแฟแก่คอกาแฟทั่วโลก 175 แก้วต่อวินาที
Nescafé Milano Lounge เป็นนวัตกรรมเครื่องชงกาแฟล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายสามารถแข่งขันกันได้ในตลาดซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสามารถชงกาแฟได้ด้วยตนเอง และสามารถชงได้ในช่วงเวลาเร่งรีบ
โครงการ Nescafé Plan
นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังคงมีความก้าวเดินที่สำคัญในเรื่องการปลูกกาแฟ การจัดหาเมล็ดกาแฟ การผลิต และการบริโภคกาแฟอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดห่วงโซ่อุปทานของเมล็ดกาแฟ
ในปี พ.ศ.2553 บริษัทได้เปิดตัวโครงการ Nescafé Plan ขึ้นในเมืองเม็กซิโกซิตี้
โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนมูลค่า 500 ฟรังก์สวิส (ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท) ในโครงการทางด้านกาแฟซึ่งจะมีการลงทุนในหลายโครงการทั้งโลกภายในปี พ.ศ.2563
โครงการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้เนสท์เล่เพิ่มประสิทธิภาพของระบบจัดการห่วงโซ่อุปทานของเมล็ดกาแฟ และเพิ่มการซื้อเมล็ดกาแฟโดยตรงจากเกษตรกร รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอีกด้วย
ตามแผนที่วางไว้ในโครงการ Nescafé Plan นี้ บริษัทจะสั่งซื้อเมล็ดกาแฟที่ได้จากการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่า 180,000 ตันจากเกษตรกร 170,000 รายทั่วโลกภายในปี พ.ศ.2558